มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

รองอธิการบดีฝ่ายกิจการนิสิต มจร ร่วมเวทีเสวนา “ธรรมนูญว่าด้วยระบบสุขภาพแห่งชาติ :ทิศทางระบบสุขภาพของไทย” ชี้ธรรมนูญสุขภาพเป็นเครื่องมือนโยบายสาธารณะ ในการขับเคลื่อนให้เกิดสังคมสุขภาวะที่ยั่งยืน”

1,078
วันที่ 25 เมษายน 2565 เวลา 09.40 น.ที่ห้องประชุม กรมประชาสัมพันธ์ กรุงเทพฯ พระเทพเวที,รศ.ดร. (พล อาภากโร,ป.ธ.9) เจ้าคณะภาค 6 เจ้าอาวาสวัดสังเวชวิศยาราม และรองอธิการบดีฝ่ายกิจการนิสิต มจร ร่วมเป็นวิทยากรเสวนาในเวทีสมัชชาสุขภาพเฉพาะประเด็นธรรมนูญว่าด้วยระบบสุขภาพแห่งชาติ ฉบับที่ 3 โดยมี ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ ประธานจัดทำธรรมนูญสุขภาพแห่งชาติ ฉบับที่ 3 กล่าวรายงาน และ ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวเปิดการประชุม การนี้ พระมหาประยูร โชติวโร,ดร. ผู้อำนวยการกองกิจการนิสิต สำนักงานอธิการบดี เข้าร่วมด้วย

พระเทพเวที กล่าวว่า ขออนุโมทนาที่ให้โอกาสคณะสงฆ์ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการจัดทำธรรมนูญสุขภาพแห่งชาติ ฉบับที่ 3 กระบวนการสมัชชาถือเป็นเครื่องมือในการทำและใช้ธรรมนูญสุขภาพเป็นนโยบายสาธารณะในการขับเคลื่อนเพื่อสร้างสุขภาวะให้กับประชาชนทุกกลุ่ม ชอบใจคำว่า “ระบบสุขภาพที่เป็นธรรม ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” เมื่อนึกถึงหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา คือ หลักสาราณียธรรม 6 ซึ่งเป็นหลักธรรมที่ว่าด้วยแนวทางปฏิบัติของผู้ที่อยู่ร่วมกัน ตั้งแต่ขนาดเล็ก เช่น ระดับบุคคล ครอบครัวไปจนถึงระดับประเทศ หรือแม้กระทั่งในระดับโลก ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดการพัฒนาคุณภาพชีวิตเพื่อความเท่าเทียมและยั่งยืน ทั้งในระดับ individual well-being , collective well-being, planetary well-being

 

หลักสาราณียธรรมนี้มีสาระอันพอสรุปได้ 6 ประการดังนี้ (1) เมตตากายกรรม คือ การช่วยเหลือกิจธุระของผู้ร่วมหมู่คณะด้วยความเต็มใจ เคารพนับถือกันทั้งต่อหน้า และลับหลัง (2) เมตตาวจีกรรม คือ การช่วยบอกแจ้งสิ่งที่เป็นประโยชน์ (3) เมตตามโนกรรม คือ การตั้งจิตปรารถนาดี คิดทำสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่สังคม (4) สาธารณโภคิตา คือ มีส่วนร่วมในการใช้ประโยชน์สาธารณะร่วมกันตามหลักธรรมาภิบาล (5) สีลสามัญญตา คือมีความประพฤติสุจริตดีงาม กระทำตนเป็นประโยชน์ และ (6) ทิฏฐิสามัญญตา คือ มีความเห็นชอบร่วมกันในข้อที่เป็นหลักการ อันจะนำไปสู่ความหลุดพ้น สิ้นทุกข์ ขจัดปัญหา

อย่างไรก็ตามพระเทพเวที ได้กล่าวถึงรูปธรรมความสำเร็จ ซึ่งเป็นดอกผลจากการมีธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์แห่งชาติหลายประการ เช่น พระคิลานุปัฏฐาก, กองบุญสุขภาวะ, การเข้าถึงสิทธิบริการสุขภาพของพระสงฆ์, ศูนย์ประสานงานหลักประกันสุขภาพวิถีพุทธ, การมีส่วนร่วมในกองทุนตำบลของพระสงฆ์ เป็นต้น

 

ในตอนหนึ่งท่านได้กล่าวถึงมีประเด็นที่น่าสนใจว่า ทำไม ? จึงต้องทำธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์แห่งชาติ จำเป็นหรือไม่ ? ทำไม ? ไม่ใช้ธรรมนูญสุขภาพแห่งชาติที่มีอยู่แล้ว คำตอบก็คือ (1) เพราะพฤติกรรมกำหนดสุขภาพพระสงฆ์แตกต่างจากประชาชนทั่วไปด้วยมีหลักพระธรรมวินัย (2) พระสงฆ์มีต้นทุนความศรัทธา ถือเป็นทุนทางสังคมสูง หากสามารถทำให้องค์กรสงฆ์เป็นองค์กรสุขภาวะ จะเกิดประโยชน์มากมายมหาศาลต่อการสร้างสุขภาวะให้ประชาชน  ท่านกล่าวเพิ่มเติมว่า… เมื่อพระสงฆ์สามารถดูแลสุขภาพตัวเองและดูแลกันเองได้ ชุมชน สังคม รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมมือร่วมใจกันอุปัฏฐากพระสงฆ์ ก็จะส่งผลให้พระสงฆ์มีสุขภาวะที่ดี เกิดเป็นองค์กรสุขภาวะที่สามารถเป็นผู้นำด้านสุขภาวะให้กับชุมชนและสังคมได้ โดยเฉพาะ สุขภาวะทางจิตและปัญญา เหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการมีกระบวนการนโยบายสาธารณะในทุกภาคส่วนของสังคม ซึ่งก่อให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างมีส่วนร่วม

 

ในปี2565 นี้ เป็นวาระครบรอบการทบทวนธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์แห่งชาติ เพื่อให้เกิดกระบวนการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงและสร้างเครื่องมือนโยบายสาธารณะ เป็นกรอบและทิศทางให้องค์กรภาคีเครือข่ายเข้ามามีส่วนร่วมในการอุปัฏฐากพระสงฆ์ เพื่อนำไปสู่หมุดหมายสำคัญในการสร้างระบบสุขภาพที่เป็นธรรม ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และใช้พลังบวรขับเคลื่อนให้เกิดสังคมสุขภาวะที่ยั่งยืนต่อไปท่านกล่าวสรุปในตอนท้าย