วันนี้ (23ก.ค.2562) เวลา09.00น. ที่มจร วิทยาเขตนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช พระเทพปัญญาสุธี รองอธิการบดีวิทยาเขตนครศรีธรรมราช ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 16 เมตตาเป็นประธานเปิดงาน ปฐมนิเทศนิสิตก่อนออกปฏิบัติศาสนกิจ รุ่นที่ 65 ประจำภาคใต้ และบรรยายพิเศษ หัวข้อ เรื่อง “การปฏิบัติศาสนกิจกับการปฏิรูปกิจการพระพุทธศาสนา” ท่านได้กล่าวตอนหนึ่งใจความสำคัญว่า “ขอแสดงความยินดีกับทุกท่านที่สำเร็จการศึกษาตามหลักสูตรและมีโอกาสที่จะออกปฏิบัติศาสนกิจเพื่อสนองงานคณะสงฆ์และช่วยเหลือสังคม ถามว่าทำไมทุกท่านเมื่อเรียนครบตามหลักสูตรแล้วต้องจะต้องออกปฏิบัติศาสนกิจเพื่อช่วยสนองงานกิจการคณะสงฆ์และช่วยเหลือสังคม การปฏิบัติศาสนกิจเป็นเพียงการจัดการความรู้ในสิ่งที่ทุกท่านต้องปฏิบัติศาสนกิจในฐานะเป็นพระสงฆ์เป็นผู้นำทางด้านจิตวิญญาณหรือผู้นำทางปัญญาอยู่แล้ว เพราะการปฏิบัติศาสนกิจมีแต่ มจร เราเท่านั้น การปฏิบัติศาสนกิจมีความสำคัญและอัตลักษณ์ของ มจร เป็นความดำริของบุรพาจารย์ของ มจร มีเจ้าประคุณสมเด็จพุฒาจารย์ (อาจ อาสโภ ป.ธ.8) อดีตเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ องค์นายกสภา มจร เป็นต้น ปัจจุบันหลายแห่งเดินตามสิ่งที่เราทำกัน..การปฏิบัติศาสนกิจจึงเป็นการที่เราเรียนจบตามภาคทฤษฎีและออกปฏิบัติงานอย่างเข้มข้นเพื่อทำงานสนองงานกิจการคณะสงฆ์และช่วยเหลือสังคม…จึงเป็นโอกาสที่ทุกท่านจะฝึกฝนพัฒนาตนเองตอบแทนคุณพระศาสนาและอนุเคราะห์เกื้อกูลแก่ญาติโยม …ขออนุโมทนากับทุกท่าน”
หลังจากนั้น พระครูอรุณสุตาลังการ ,รศ.ดร. ผู้อำนวยการสำนักวิชาการ ได้เป็นวิทยากรบรรยายพิเศษ หัวข้อ “Mindset บัณฑิต มจร พลังทำงานและจิตวิญญาณเพื่อพระพุทธศาสนาและสังคม” ท่านได้กล่าวให้กำลังใจและเพิ่มมุมมองการปฏิบัติศาสนกิจว่านอกจากทุกท่านจะต้องปฏิบัติศาสนกิจเพื่อสนองงานคณะสงฆ์และช่วยเหลือสังคมแล้ว สิ่งที่ มจร คณะสงฆ์และสังคมคาดหวังจากทุกท่าน คือความรู้ความสามารถด้านเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการบริหารงานกิจการคณะสงฆ์ ร่วมถึงการสื่อสารสาธารณะท่านต้องใส่ใจและช่วยสร้างสรรค์สังคมสื่อทางดีด้วย ทักษะในเรื่องการทำงานท่านจะต้องทำงานร่วมกับเขาได้ รู้จักเขารู้จักเรา ดูเขาดูเรา เริ่มต้นจากการสร้างสื่อเพื่อการประชาสัมพันธ์ เช่น Facebook เมื่อท่านต้องทำงานกับคนอื่นไม่ว่าจะที่วัดหรือโรงเรียนมีอะไรให้ท่านต้องช่วยเหลือขอให้ท่านช่วยขอฝากทุกท่านด้วย
พระมหาราชัน จิตฺตปาโล,ดร. ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายกิจการนิสิต ได้เป็นวิทยากรบรรยายพิเศษ หัวข้อ “Mindset บัณฑิต มจร พลังทำงานและจิตวิญญาณเพื่อพระพุทธศาสนาและสังคม” ท่านได้ให้ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับนโยบายและแนวปฏิบัติในการปฏิบัติศาสนกิจเพื่อสนองงานคณะสงฆ์และช่วยเหลือสังคม และได้ให้แนวทางในการดำเนินการคือ เบื้องต้นให้ทุกท่านได้ศึกษาเรียนรู้ในปฐมํ พุทฺธวจนํ เรียกว่าให้เชี่ยวชาญในพุทธพจน์ของพระพุทธองค์ เรื่องที่สองทุติยํ โลกกิจฺจํ ให้ท่านมีความรู้ด้านทางโลก สามารถใช้ความรู้ในการบริหารจัดการเงินและการบัญชี ประสานงานร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ในการพัฒนาวัดได้ เรื่องที่สาม ตติยเวชชฺคณฺฐํ มีความรู้ด้านสุขภาพ การดูแลสุขภาพ มีความรู้ด้านสมุนไพร สามารถใช้สมุนไพรในการดูลสุขภาพตนเอง ตลอดจนการสร้างโรงอบสมุนไพรดูแลผู้ป่วยในวัด ใช้ความรู้ด้านสุขภาพเป็นกุศโลบายในการดึงญาติโยมให้เข้าวัดมากยิ่งขึ้น และสุดท้าย จตุตฺถํ สิปปฺกมฺมํ มีความรู้เรื่องศิลปะ มีศิลปะประจำตัว ท่านเรียนมหาจุฬาฯ ต้องมีทักษะภาษา การใช้เทคโนโลยี การทำโครงการ การเทศน์ การจัดการวัด ถนัดด้านใดด้านหนึ่ง นำความรู้/ความเชี่ยวชาญทักษะในแต่ละด้านไปต่อยอดพัฒนาตนเองให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น มีพระท่านหนึ่งได้กล่าวไว้ว่า “ความรู้ทำให้เรามีงานทำ แต่กิจกรรมทำให้เราทำงานเป็น” พร้อมทั้งย้ำว่า หลักนวลักษณ์ 9 ประการ เป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับพระสงฆ์ ไม่ใช่เฉพาะกับพระนิสิต มจร เพียงเท่านั้น แต่ยังสำคัญสำหรับพระสงฆ์โดยทั่ว ๆ ไป
พระมหาประยูร โชติวโร ผู้อำนวยการกองกิจการนิสิต ได้บรรยายขยายผลต่อจากพระมหาราชัน ก่อนที่จะเกริ่นย้อนไปยังเนื้อหาการบรรยายของพระเทพปัญญาสุธี ที่ได้เมตตาบรรยายถึงความเป็นมาของการปฏิบัติศาสนกิจของ มจร ตัวกระผมเองในฐานะที่เคยเป็นพระนิสิตปฏิบัติศาสนกิจ มจร เช่นเดียวกับพวกท่านในเวลานี้ ก็เคยมีการตั้งคำถามและสงสัยว่า “ทำไมพวกเราจึงต้องปฏิบัติศาสนกิจ” จุดเปลี่ยนทางความคิดของกระผมมาจากผลของการได้ลงชุมชนไปไปฏิบัติศาสนกิจ เป็นการเปรียบเทียบระหว่างกระผมกับเพื่อนอีกรูปหนึ่ง ในขณะที่กระผมตั้งคำถามกับการปฏิบัติศาสนกิจว่าเสียเวลาหรือเปล่า ทำไปเพื่ออะไร เพื่อนคนนั้นกลับเต็มที่กับสิ่งที่ได้ทำภายในชุมชน เชื่อไหมครับว่าในงานวันรับปริญญาหลังจากศึกษาจบแล้ว ญาติโยมในชุมชนหรือแม้กระทั่งเจ้าอาวาสที่เพื่อนคนนั้นไปปฏิบัติศาสนกิจแห่กันมาทั้งหมู่บ้าน 1 คันรถบัส ในขณะที่ผมมีรถแท็กซี่คันเดียว นี่เป็นความแตกต่างเพียงเล็กน้อยนะครับ ยังไม่รวมว่าในตอนนี้ เพื่อนคนนั้นของกระผมดำรงตำแหน่งเป็นรองศาสตราจารย์ มีโอกาสทางการศึกษาในระดับปริญญาโทโดยการสนับสนุนจากญาติโยม ในขณะที่กระผมต้องรับผิดชอบเรื่องค่าเทอมเองในตอนเรียนในระดับปริญญาโท แต่ก็ด้วยเหตุอันใดก็ไม่ทราบ ผมกลับต้องมารับผิดชอบหน้าที่เกี่ยวกับการปฏิบัติศาสนกิจในปัจจุบัน นี่คือประสบการณ์เรื่องการปฏิบัติศาสนกิจของผม ซึ่งในเวลานี้พระอาจารย์หลายท่านอาจจะเคยมีความคิดเช่นเดียวกับผมในอดีต ว่าทำไปทำไม ทำไปเพื่ออะไร แต่หากท่านทั้งหลายลองเปิดใจแล้วก็จะเห็นว่าการปฏิบัติศาสนกิจมีคุณค่ามากเพียงใด จึงเป็นที่มาของการจัดกิจกรรมในวันนี้ ที่กระผมจะมาเชิญชวนให้พระอาจารย์แต่ละท่านช่วยกันคิดโครงการที่จะทำใน 1 ปี หลังจากนี้ ผมอยากมองว่า ต่อไปนี้การปฏิบัติศาสนกิจไม่ได้เป็นภาระเราเท่านั้นหากแต่เป็นหน้าที่ของทุกท่านที่ต้องช่วยกันทำงานเพื่อพระพุทธศาสนาช่วยอนุเคราะห์และเกื้อกูลต่อสังคม
นับตั้งแต่รุ่นที่ 63 มีการนำร่องและ รุ่นที่ 64 ได้กำหนดให้ปฏิบัติศาสนกิจในรูปแบบของโครงการเพื่อสนองงานตามแผนปฏิรูปกิจการพระพุทธศาสนาตางานพันธกิจคณะสงฆ์ 6 ด้าน ได้แก่ ปกครอง เผยแผ่ ศาสนศึกษา ศึกษาสงเคราะห์ สาธารณูปการ และสาธารณสงเคราะห์ โดยมหาวิทยาลัยได้นำระบบการปฏิบัติศาสนกิจออนไลน์มาใช้อำนวยความสะดวกให้กับท่านทั้งการยื่นคำร้อง การปฐมนิเทศ การรายงาน การติดตามและพัฒนาโครงการ การประกวดผลงานการปฏิบัติศาสนกิจ และการสัมมนานิสิตปฏิบัติศาสนกิจ
พระเดชพระคุณพระพรหมบัณฑิต, ศ.ดร. อดีตอธิการบดี มจร ท่านได้ให้นโยบายว่า อยากเห็นการปฏิบัติศาสนกิจมีการจัดการความรู้ การปฏิบัติศาสนกิจมีการส่งต่อองค์ความรู้จากรุ่นหนึ่งไปสู่รุ่นหนึ่ง ท่านอยากให้รูปแบบการปฏิบัติศาสนกิจมีการเปลี่ยนแปลงและทำให้ดีกว่าเพื่อเหมาะสมกับยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป ผมในฐานะผู้อำนวยการกองกิจการนิสิต น้อมรับมาเป็นนโยบายการทำงานอย่างเต็มอกเต็มใจ การปฏิบัติศาสนกิจในปัจจุบันด้วยการกำกับดูแลของพระเดชพระคุณพระราชวรมุนี,รศ.ดร. รองอธิการบดีฝ่ายกิจการนิสิต และทีมงานที่เกี่ยวข้อง จึงได้มีการพัฒนารูปแบบเป็นโครงการ เพื่อให้แต่ละท่านออกไปทำงานร่วมกับชุมชน ประเด็นนี้เป็นประเด็นหนึ่งภายใต้สถานการณ์ที่บริบทต่าง ๆ เกิดความเปลี่ยนแปลง จึงส่งผลให้ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาต้องปรับตาม เพื่อให้การปฏิบัติศาสนกิจประสบความสำเร็จจึงขอให้ท่านได้พัฒนาศักยภาพของตนเอง การหมั่นเรียนรู้การฝึกฝน ทำหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมายอย่างเต็มที่ โดยหากคิดว่าทำในสิ่งที่ได้รับมอบหมายมาไม่ดี จงฝึกฝนเรียนรู้ เพื่อตนเองและเพื่อผู้บังคับบัญชาที่ไว้ใจเรา หลังจากนั้นคุณถาวร ภูษา นักวิจัย สถาบันวิจัยพุทธศาสตร์ ได้เป็นวิทยากรบรรยายระบบการปฏิบัติศาสนกิจออนไลน์เพื่อทดสอบและถวายคำแนะนำในการใช้ระบบการปฏิบัติศาสนกิจออนไลน์โดยได้ยกตัวอย่างในแต่ละเมนูและแนะนำวิดีทัศน์ในการนำเสนอขั้นตอนการยื่นคำร้อง การรายงานครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 ในช่วงการแบ่งกลุ่มตามกลุ่มงานคณะสงฆ์ 6 ด้าน ได้แก่ (1) ด้านการปกครอง 2 รูป (2) ด้านเผยแผ่ จำนวน 61 รูป (2) ด้านศาสนศึกษา 2 รูป (3) ด้านศึกษาสงเคราะห์ จำนวน 3 รูป (4) ด้านสาธารณูปการ จำนวน 4 รูป จำ(6) ด้านสาธารณสงเคราะห์ จำนวน 1 รูป นิสิตปฏิบัติศาสนกิจในภาคใต้จำนวน 73 รูป คือ (1) วิทยาเขตนครศรีธรรมราช จำนวน 46 รูป (2) วิทยาลัยสงฆ์ปัตตานี จำนวน 9 รูป (3) วิทยาลัยสงฆ์สุราษฎ์ธานี จำนวน 2 รูป (4) หน่วยวิทยบริการสงขลา จำนวน 15 รูป
จากการประชุมกลุ่มย่อยนำกระบวนการโดย คณะทำงานโครงการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์พระนิสิตปฏิบัติศาสนกิจสู่การสร้างสังคมสุขภาวะ นิสิตได้ให้ความร่วมมือ ร่วมคัดเลือกโครงการยุทธศาสตร์ในแต่ละจังหวัด ได้แก่ (1) การพัฒนาศาสนสมบัติวัดเพื่อสร้างสุขภาวะชน (2) การส่งเสริมการบริหารจัดการสำนักงานเจ้าคณะด้วยระบบสารสนเทศ(3) การสอนธรรมศึกษาในศูนย์ศึกษาพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ (4) การพัฒนาศาสนศึกษาเพื่อสนองงานกิจการคณสงฆ์ (5) การอบรมคุณธรรม จริยธรรมเด็กและเยาวชน (6) ธรรมะสัญจรเอื้ออาทรปันน้ำใจ (7) วิถีธรรม วิถีไทยใส่ใจในบวรในพระพุทธศาสนา การนี้ได้มีการคัดเลือกประธานกลุ่มรายจังหวัดและคณะกรรมการบริหารนิสิตปฏิบัติศาสนกิจประจำภาคด้วย พิธีปิดได้รับความเมตตาจากพระครูโสภณรัตนบัณฑิต,ผศ.ดร. ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายกิจการนิสิต ท่านได้กล่าวให้กำลังใจและฝากถึงการดำเนินการโครงการว่าเป็นโครงการที่น่าสนใจ หากทำได้จะเป็นประโยชน์ต่อคณะสงฆ์และสังคมอย่างมาก ช่วยดูถึงโครงการที่เกี่ยวข้องกับญาติโยมที่เคยให้การอุปถัมภ์เราในวัดใส่บาตรหรือถวายภัตตาหารเช้าเพลวันหนึ่งเมื่อโยมไม่สามารถมาวัดได้ช่วยทำโครงการไปเยี่ยมโยมไปให้กำลังใจโยมจะดีมากท่านได้ฝากทิ้งท้าย